บทที่สี่
“คุณมีนัดตอนห้าโมงครึ่งนะ ลูกค้ารีเควสต์ให้คุณเป็นคนสักให้” ซาร่าห์ เพื่อนร่วมงานของผมพูดสายเข้ามา ผมแทบจะได้ยินเสียงเธอทำตากรอกเลย
“โอเค ขอบใจนะซาร่าห์” ผมหัวเราะออกมา
“เจอกันที่ร้านนะ” เธอบอกก่อนจะวางสายไป
ผมรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงใคร เบคก้า ลูกค้าคนสำคัญที่สุดของผม ผมเป็นคนสักลายแรกให้เธอ และจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เธอมาสัก เธอก็จะรีเควสต์ผมเสมอ
ส่วนหนึ่งผมก็เชื่อว่าเป็นเพราะเธอคิดว่าผมหน้าตาดีและคงอยากจะจ้องหน้าผมไปตลอดการสัก แต่ผมก็ไม่อยากจะหลงตัวเองไปหน่อยเลย
ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วเริ่มเตรียมตัวไปเรียน ผมเรียนศิลปะและการถ่ายภาพ ผมเป็นพวกคลั่งไคล้ศิลปะมาตลอด นั่นคือเหตุผลที่ผมมาเป็นช่างสัก บางครั้งในเวลาว่างผมก็รับถ่ายรูปให้คนอื่นด้วย ผมถ่ายมาแล้วทั้งงานวันเกิด งานปาร์ตี้ และงานอื่นๆ อีกหลายงาน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณงานพนักงานเสิร์ฟของผมเลย ผมทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารหรูซึ่งเรตติ้งดีมาก เจ้านายผมเกิดชอบผลงานชิ้นหนึ่งของผมเข้าอย่างจัง เลยจ้างให้ผมถ่ายรูปบรรยากาศร้านแล้วเอารูปพวกนั้นไปแขวนโชว์
ส่วนใหญ่เวลาที่ลูกค้าต้องการช่างภาพ เขาก็มักจะแนะนำผมให้เพื่อนๆ หรือลูกค้าของเขาเสมอ มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผมเพราะผมต้องการเงินมากจริงๆ ทำงานหกอย่างผมก็ไม่เกี่ยง
พ่อแม่ผม “เสีย” ตอนผมยังเด็ก และย่าก็เป็นคนเลี้ยงผมมา แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ต้องย้ายออกมาหาที่อยู่เอง ดังนั้นเงินที่หามาได้ ผมจะเอาไว้ใช้ส่วนตัวและส่งบางส่วนไปให้ย่าไว้ใช้จ่าย ท่านบอกว่าไม่อยากไปอยู่บ้านพักคนชรา และผมก็เคารพการตัดสินใจของท่าน
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็ออกจากห้องไปเรียน ผมได้ยินมาว่าปีนี้เราจะได้อาจารย์คนใหม่ ซึ่งผมไม่สนใจเลยสักนิด หวังว่าคงไม่ใช่พวกฮิปปี้ที่เชื่อว่าตัวเองชำระล้างออร่าของเราได้แค่ด้วยการโบกไม้โบกมือไปทั่วมั้ง
....
ผมเข้ามาในห้องเรียนเพื่อรออาจารย์คนใหม่ ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก แล้วเขาก็เดินเข้ามา
เขาหน้าตาดีมากจริงๆ จากมุมที่ผมนั่งซึ่งอยู่แถวหน้าสุด เขาตัวเล็ก ตัวไม่สูง ผิวเข้ม และดูดีมาก
‘ว้าว’
ถ้าเขาไม่ใช่อาจารย์ของผมนะ ผมจับกดไปแล้วแน่ๆ...
แต่ก็นั่นแหละ เรื่องแค่นี้เคยหยุดผมได้ที่ไหนกัน ถ้าผมจะเอาจริงๆ ต่อให้เป็นประธานาธิบดีผมก็จับนอนด้วยได้
ผมกำลังดื่มด่ำกับความงามของเขาอยู่เลย จู่ๆ เขาก็เกือบจะสะดุดขาตัวเอง
ผมเดาว่าเขาคงมัวแต่ตั้งใจจะทักทายพวกเราและเตรียมเอกสารจนไม่ทันเห็นสายไฟที่กองอยู่บนพื้น ผมมองเขาที่กำลังเดินโซซัดโซเซพยายามแกะเท้าตัวเองออกจากสายไฟ เขาเกือบจะล้มเป็นครั้งที่สองในเวลาไม่ถึงนาที ต้องเป็นสถิติใหม่แน่ๆ แต่เขาก็ทรงตัวไว้ได้ทันเวลาพอดี
“โว้ว!” เขาอุทานแล้วหัวเราะแห้งๆ ออกมา แต่ผมเห็นความอับอายฉายชัดบนใบหน้าเขา ถ้าเขาผิวขาวกว่านี้ ผมมั่นใจเลยว่าต้องได้เห็นรอยเลือดฝาดบนโหนกแก้มสวยๆ ที่รับกับใบหน้าเขาอย่างสมบูรณ์แบบนั่นแน่ เขาน่ารักชะมัด
ผมมองไปรอบๆ และสังเกตเห็นว่าเขาได้รับความสนใจจากนักเรียนทั้งห้อง บางคนดูไม่สนใจ บางคนดูประหลาดใจ และบางคนก็ดูขบขัน ผมมองเขาที่หลบสายตาไปชั่วครู่ บางทีอาจจะกำลังเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองอยู่ ก่อนจะหันกลับมาหาพวกเรา พยายามแสดงความมั่นใจออกมา
“ขอประเดิมความซุ่มซ่ามไว้ก่อนเลยแล้วกันนะ” เขาพยายามพูดติดตลก แต่ผมดูออกว่าเขากำลังประหม่าสุดๆ ผมมองลงไปที่มือของเขาแล้วเห็นว่าเขากำลังแกะเล็บตัวเอง คงกำลังภาวนาให้พระเจ้ามารับตัวไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นเขาสลับเท้ายืนไปมา ทำไมมหา’ลัยถึงส่งเด็กมาสอนเราวะ
เขากระแอมแล้วพยายามรวบรวมสติ พยายามทำตัวให้ดูคูล แต่ผมก็อดสงสารเขาไม่ได้ บอกตามตรงว่าเขาทำตัวเองขายหน้าตั้งแต่วันแรกเลย เขาพูดติดๆ ขัดๆ อยู่หลายครั้ง และมือผมก็สั่นเล็กน้อยตอนที่เขาเขียนชื่อตัวเองบนกระดาน ร่างเล็กๆ ของเขาแทบจะบังกระดานไม่มิดตอนที่เขียน มือเล็กๆ นั่นกำปากกามาร์กเกอร์แน่นขณะจรดชื่อลงไป เขามีลายมือที่สวยมาก
“สวัสดีตอนเช้าครับนักศึกษา” เขาทักทาย ผมชอบเสียงของเขานะ มันไม่ทุ้มลึกแต่ก็ไม่ถึงกับเหมือนผู้หญิง มันแค่กำลังดี แต่เสียงของเขาเบาและแหบพร่านิดๆ บางทีเขาอาจจะไม่ชินกับการพูด
“ผมชื่อดีแลน แมทธิว จะมาเป็นอาจารย์สอนศิลปะให้พวกคุณในเทอมนี้” ผมมองมือที่สั่นเทาของเขาชี้ไปที่ชื่อตัวเองซึ่งเขียนไว้บนกระดานกับรหัสวิชาที่อยู่ข้างๆ
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ คิดซะว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็ได้ แต่ก็อย่าสนิทกันเกินไปจนลืมว่าผมไม่ใช่นะครับ” เขาหัวเราะแห้งๆ ออกมาซึ่งได้รับการตอบกลับเป็นความเงียบ โห ไม่มีใครเล่นด้วยเลยเหรอวะ บรรยากาศในห้องเย็นชาชะมัด
“โอเคคค” เขาเอ่ยออกมาแล้วเริ่มสอนหัวข้อของวันนี้ หรือในกรณีของเขาคือ ‘พยายาม’ สอน เขาดูประหม่ามากและมันก็น่ารักดี เขาเหมือนกระต่ายในทุ่งที่เต็มไปด้วยหมาป่า ดูเหมือนพวกเรากำลังจะจับเขากินทั้งเป็นอย่างนั้นแหละ คือ... ผมไม่รู้คนอื่นเป็นยังไงนะ แต่ถ้าให้ผม ‘กิน’ เขาล่ะก็ ผมไม่เกี่ยงหรอก แบบว่า... ขอลองชิมรสชาติผู้ชายตัวเล็กๆ ที่น่ารักคนนี้ดูสักหน่อย
พอคลาสเรียนจบลงในที่สุด ผมได้ยินเขาถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาจริงๆ ผมไม่โทษเขาหรอกนะ คลาสวันนี้มันไม่ไหวจริงๆ ปกติแล้วพวกเขาจะคึกคักกว่านี้ แต่ผมเดาว่าคงรอดูท่าทีเขาก่อนที่บางคนจะยอมลดการ์ดลง เขาเก็บของแล้วมุ่งหน้าออกจากห้องเรียน สายตาผมไล่สำรวจร่างกายเขาไปจนหยุดอยู่ที่บั้นท้าย สะโพกของเขาส่ายไหวตอนที่เดินออกจากห้อง กางเกงที่ใส่ก็พอดีตัวจนเผยให้เห็นรูปร่างของเขา บอกได้เลยว่าเขามีหุ่นที่ดีทีเดียว
ตอนที่เขาเดินออกจากห้องไป ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากในห้อง พวกเขากำลังพูดถึงอาจารย์ตัวน้อยขี้อายท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเรา มีทั้งคำพูดในแง่ดีและแง่ลบ
“นี่เขาให้เด็กมาสอนเราจริงๆ เหรอวะ” ผมได้ยินใครบางคนพูดจากข้างหลัง ผมไม่ได้รีบร้อนจะออกจากห้องเท่าไหร่ เพราะคลาสต่อไปก็อีกตั้งชั่วโมง เลยไม่มีเหตุผลให้ต้องรีบ
“นั่นดิ พูดจายังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย ติดๆ ขัดๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ” เพื่อนของหล่อนตอบกลับ ผมแทบจะได้ยินเสียงกรอกตาของเธอเลย
“ถ้าไม่ติดว่าเป็นอาจารย์นะ กูจัดไปแล้ว” ผมได้ยินไอ้สัตว์ตัวไหนสักตัวที่นั่งอยู่ข้างหลังพูดขึ้น ถ้าจะมีใครได้ ‘จัด’ ล่ะก็ คนนั้นต้องเป็นผม
ผมได้ยินความเห็นอื่นๆ อีกสองสามอย่างก่อนจะตัดสินใจออกจากห้องเรียน ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ผมเก็บของแล้วเดินออกจากคลาสไป
ขณะเดินไปเรื่อยๆ ในมหา’ลัย ผมก็พบว่าตัวเองกำลังเดินไปทางตึกอาจารย์ ที่ซึ่งมีห้องทำงานของพวกเขา ผมกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
จนกระทั่งผมเผลอเดินไปชนใครบางคนเข้า...







































































